เห็นเรื่อง sexual predator วันนี้แล้วอยากเล่าอีกมหากาพย์ที่ไปเจอคนพวกนี้มาตอนไปแลกเปลี่ยนบ้าง
*เรื่องนี้ขออนุญาตคนที่เป็นผู้เสียหายอีกคนก่อนมาเล่าแล้ว ขอความกรุณาไม่ไปสืบหาตัวว่าผู้เสียหายคือใคร หรือคนที่รู้ก็อย่าไปถามย้ำๆกะเจ้าตัว เพราะอาจกระทบใจเขาได้*
*เรื่องนี้ขออนุญาตคนที่เป็นผู้เสียหายอีกคนก่อนมาเล่าแล้ว ขอความกรุณาไม่ไปสืบหาตัวว่าผู้เสียหายคือใคร หรือคนที่รู้ก็อย่าไปถามย้ำๆกะเจ้าตัว เพราะอาจกระทบใจเขาได้*
อยากจั่วหัวไว้เป็นอุทาหรณ์ให้เด็กแลกเปลี่ยนรู้ไว้ว่า ***อย่าไว้ใจคนไทยในต่างแดนมากเกินไป***
ตอนไปแลกเปลี่ยนเราอายุ 16 ย่าง 17 ส่วนผู้เสียหายตอนนั้นอายุ 18 (เราขอแทนว่า A) ตอนนั้นเราโชคดีที่ได้อยู่แถวเมืองใหญ่ ใกล้เพื่อนไทย ใกล้แหล่งชอป แต่กับ A ไม่ใช่
ตอนไปแลกเปลี่ยนเราอายุ 16 ย่าง 17 ส่วนผู้เสียหายตอนนั้นอายุ 18 (เราขอแทนว่า A) ตอนนั้นเราโชคดีที่ได้อยู่แถวเมืองใหญ่ ใกล้เพื่อนไทย ใกล้แหล่งชอป แต่กับ A ไม่ใช่
A อยู่เมืองห่างไกล แถมเป็นคนไทยคนเดียวในแชปเตอร์นั้น ตอนนั้น A มีปัญหากับโฮสต์ และไม่เข้ากะเพื่อนที่โรงเรียนไม่ค่อยได้ มันเลยเคว้งๆ เราเจอ A ไม่กี่ครั้งตอนนัดไปเที่ยวด้วยกัน จากนั้นก็มีคอลหากันบ้าง
แต่มีครั้งนึงตอนนัดเที่ยวกัน A ขอพาพี่คนไทยที่นางรู้จักมาด้วย ซึ่ง A รู้จักคนนั้นเพราะเขาเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยที่ A ไปกิน (ขอแทนว่าเสี่ย B) และใช่ เขาอยู่เมืองเดียวกันกับ A
ประจวบกับตอนนั้นโรงเรียนเรามีกิจกรรมหยุดเรียนให้นักเรียนไปหางานทำ เพื่อเอาเงินที่ได้จากการทำงานไปบริจาคให้องค์กรการกุศล แล้วร้านที่เด็กไปขอทำงานจะรู้กัน ก็จะให้ทำงานเบาๆ แต่จ่ายเยอะเพื่อเป็นการบริจาค
้เราก็อยากทำไง ก็เล่าให้เพื่อนฟัง เสี่ย B ได้ยินเลยชวนเราไปทำงานร้านแก
้เราก็อยากทำไง ก็เล่าให้เพื่อนฟัง เสี่ย B ได้ยินเลยชวนเราไปทำงานร้านแก
นี่ก็ลังเลเพราะเมืองนั้นไกล แต่ A อยากให้เราไปมากก เสนอว่าให้นอนค้างบ้าน A ได้เลย แล้วจะได้ไปเที่ยวกันต่อ นี่ก็เลยตกลงไป เพราะตอนนั้นก็คุยจนโอเคกะเสี่ย B ประมาณนึงแล้ว
พอถึงวันทำงานเราก็นั่งรถไฟไปแต่เช้า ถึงเมืองนั้นประมาณ 10 โมง
พอถึงวันทำงานเราก็นั่งรถไฟไปแต่เช้า ถึงเมืองนั้นประมาณ 10 โมง
ถึงเมืองปั๊บ เสี่ย B ก็ขับรถมารับเราที่สถานีรถไฟไปร้านแก พอไปถึงก็อ้าว ร้านยังไม่เปิดเลย สรุปคือร้านเปิดช่วงเย็น นี่ก็เริ่มงงละ ฉันมาทำอะไรที่นี่ เสี่ย B ก็บอกว่า อ๋อให้มาช่วยเตรียมวัตถุดิบไง
ซึ่งร้านแกไม่ได้ใหญ่มากนะ มีแค่ 3-4 โต๊ะ แล้วบรรยากาศก็สลัวๆ
ซึ่งร้านแกไม่ได้ใหญ่มากนะ มีแค่ 3-4 โต๊ะ แล้วบรรยากาศก็สลัวๆ
มีแม่แกอีกคนนั่งทำบัญชีอยู่ในร้าน แกก็พาเราไปในครัว แล้วเอาไก่มาให้เราหั่น ระหว่างเราหั่นไก่แกก็เล่นโทรศัพท์พร้อมชวนคุยไปด้วย ไม่มีความรีบใดๆ
แล้วเรื่องที่แกชวนคุยที่เรารู้สึกแปลกๆก็แบบ เรามีแฟนยัง เคยมีอะไรกับแฟนมั้ย รู้มั้ยเด็กที่นี่มี sex กันไวนะ ค.คิดเราต่อเรื่อง sex เป็นไง
แล้วเรื่องที่แกชวนคุยที่เรารู้สึกแปลกๆก็แบบ เรามีแฟนยัง เคยมีอะไรกับแฟนมั้ย รู้มั้ยเด็กที่นี่มี sex กันไวนะ ค.คิดเราต่อเรื่อง sex เป็นไง
คือเหมือนคำถามที่แทรกๆมากับคำถามทั่วไป จนเราเอ้ะ คนที่นี่เขาคุยกันแบบนี้เหรอ? ก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง
สักพักเขาก็ชวนเราไปซื้อวัตถุดิบที่มาร์ท ก็นั่งรถออกไป แต่แทนที่จะไปที่มาร์ท
สักพักเขาก็ชวนเราไปซื้อวัตถุดิบที่มาร์ท ก็นั่งรถออกไป แต่แทนที่จะไปที่มาร์ท
เขาดันเลี้ยวรถไปร้านน้ำชา/เค้กชื่อดังของเมืองนั้นแทน แล้วราคาคือตาถลนมาก แล้วเขาสั่ง high tea set มาเลย ซึ่งแพงสุดในร้าน แล้วเขาบอกว่าเนี่ย สั่งมาให้เรากิน กินเป็นเพื่อนเขาหน่อย ตอนแรกนี่บ่ายเบี่ยงไม่กล้ากิน สุดท้ายเขาก็คะยั้นคะยอให้เรากิน
แล้วเริ่มโม้ว่า "พา A ออกไปกินนู่นนี่กินนี่ ซื้อนู่นนี่ให้ A ตลอด A เขาก็น่ารักมากเลยนะ สเปคพี่เลย แต่เราอะหน้าเหมือนแฟนเก่าพี่เลยนะ" ซึ่งบทสนทนามันดูธรรมชาติมากจนน่ากลัว คือเขาแทรกๆพวกนี้เข้ามาในบทสนทนาทั่วไป ถามไถ่ชีวิตเราบ้าง โม้ชีวิตเขาบ้าง
เราก็รู้สึกได้แหละว่ามันแปลก เขาก็เหมือน aware ตรงนี้เลยพยายามทำให้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ดูเป็นเรื่องที่ "คุยกันได้ ไม่ต้องเขิน เขาเปิดกว้าง" ซึ่งชั้นก็ต้องตามน้ำไปก่อน
พอกินเค้กเสร็จ เขาก็ยังไม่ไปมาร์ทอยู่ดี
พอกินเค้กเสร็จ เขาก็ยังไม่ไปมาร์ทอยู่ดี
แต่พาเราไปเดินดูเมือง ที่ creepy สุดคือเขาบอกว่าหินก้อน(ใหญ่)ข้างแม่น้ำเป็นจุดที่ถ้ามานอนหลับตาอธิษฐานแล้วจะสมหวัง (ซึ่งก็มีฝรั่งนอนหลับตาอยู่จริงๆ หรือเขาแค่นอนกลางวันฟะ) อะชั้นก็ลอง พอลืมตาขึ้นมาคืออิเสี่ย B มานอนข้างๆโว้ยย
กุก็ตกใจดีดตัวขึ้นเลยอะ แต่เขาแม่งเอามือมาโอบไหล่ ยกโทรศัพท์แล้วบอกว่ามาเซลฟี่กันสักรูป นี่อยากกรี๊ดมาก แต่ทำไรไม่ถูก เขาทำเหมือนการแตะตัวเป็นปกติมาก ตั้งแต่ทักทายเราด้วยการแตะแก้มสามทีแบบชาวดัตช์ละ
นี่ก็ออกปากชวนเขาไปมาร์ทได้แล้ว เขาก็ยังไม่ไป!
นี่ก็ออกปากชวนเขาไปมาร์ทได้แล้ว เขาก็ยังไม่ไป!
แต่พาฉันไป apple store ไปช่วยเขาเลือกสี apple watch แล้วพานี่ไปกินเค้กอีกร้าน แถมสั่งมาสองชิ้นแบบมัดมาชก แนะนำว่าอร่อย ต้องลอง จนตอนนั้นสี่โมงแล้ว สุดท้ายก็ได้ไปมาร์ทสักที เขาก็ซื้อของ ทำเป็นมาสอนว่าเรียกวัตถุดิบนู่นนี่เป็นภาษาดัตช์ว่าไง
พอซื้อเสร็จก็นั่งรถกลับร้าน เขาบอกว่าเราไม่สนุกเหมือน A เลย แต่เหมือนแฟนเก่าเขาเปี๊ยบ เหมือนตั้งแต่หน้ายันนิสัย ถึงได้เลิกกัน แล้วลงท้ายว่าแค่แซวนะ ฮ่าๆๆ ฮ่าพ่องดิ พอกลับมาถึงร้านปั๊บนี่คือไม่ไหวละอะ อยากกรี๊ด แต่ A มารออยู่ที่ร้านแล้ว(A เพิ่งมาตอนเย็นเพราะร.ร.นางไม่หยุด)
แต่อิเสี่ย B ไม่เปิดโอกาสให้นี่อยู่กะ A สองคนเลย แล้วเสี่ย B กะ A คือสนิทกันมากก They look comfortable together เออ A ก็เคยบอกแหละว่าเสี่ย B เข้าใจ A ที่สุด เป็นเหมือนเพื่อน/พี่ชาย นี่ก็แบบ มันบ่าได้ๆๆ พะงาบๆๆ
แล้วประเด็นคือช่วงนั้น A มากินอาหารไทยที่ร้านเสี่ย B แทบ ทุก วัน แถมเสี่ย B ให้กินฟรีด้วย เพราะ A โฮมซิกมากๆ คิดถึงไทย อยากกินอาหารไทย อยากพูดภาษาไทย in person กะใครสักคนอะ
เย็นนั้นเสี่ย B ก็ทำอาหารให้กินฟรี A บอกอร่อยมาก แต่ฉันไม่รู้รสเลย จะอ้วก ตอนนั้นคือไม่ไหวแล้ว เมืองนี้ไม่ปลอดภัย ชั้นจะ take the last train กลับเมืองชั้น A ก็งงๆ เพราะเรายังไม่มีโอกาสได้เล่า แต่สรุปวันนั้นเราก็กลับบ้าน (ถึงเกือบเที่ยงคืนแต่รู้สึกปลอดภัยที่สุดในโลก)
จากนั้นก็โทรไปเล่าให้ A ฟัง A บอกมันปกตินะ เรื่องแบบนี้เขาก็เปิดกว้าง เราก็พยามย้ำว่ามันแปลกๆ (แต่เอาจริงตอนนั้นเราก็ไม่ชัวร์เพราะยังสับสน) A ก็เข้าใจว่าเราเป็นเด็กน้อยที่ตกใจกับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ แต่ฉันไม่โทษ A เพราะ conditions ต่างๆ ทำให้เขามองเสี่ย B เป็นที่พึ่ง
จุดพีคอยู่ที่อาทิตย์ต่อมา A ชวนเราไปบาร์ เคลมว่าเสี่ย B จะเลี้ยง แต่คือเราได้ยินชื่อเสี่ยบ้านั่นก็จะอ้วกละ เลยปฏิเสธไป A เลยไปชวนเพื่อนอีกคน ขอย่อว่า C
ไปๆมาๆคืนนั้น C ติดต่อเรามา ว่าให้เราไปหาได้มั้ย นี่ก็งงๆว่าทำไม
C ก็เล่าว่าเขากลัว A ก็เมาพูดไม่รู้เรื่องแล้ว แล้วเสี่ย B ก็ไม่น่าไว้ใจ แล้วไม่รู้จะติดต่อหาใครดี เพื่อนผช.ตอนนั้นก็ไม่รู้จะพึ่งใครดี ไม่รู้จะเล่ายังไงด้วย แต่คิดว่าเราน่าจะเข้าใจ
C ก็เล่าว่าเขากลัว A ก็เมาพูดไม่รู้เรื่องแล้ว แล้วเสี่ย B ก็ไม่น่าไว้ใจ แล้วไม่รู้จะติดต่อหาใครดี เพื่อนผช.ตอนนั้นก็ไม่รู้จะพึ่งใครดี ไม่รู้จะเล่ายังไงด้วย แต่คิดว่าเราน่าจะเข้าใจ
นี่ก็อยู่ใน dilemma มากๆ เพราะ A เคยบอกว่าไม่อยากให้เราเอาเรื่องที่เขาเจอกับเสี่ย B ไปบอกโฮสต์เขา ไม่งั้นโฮสต์อาจจะไม่ชอบใจ ไปฟ้องโครงการ โดนส่งกลับ(ขู่จะส่งกลับเก่งมากค่ะ) แล้วสมัยนั้นเรายังชอบแก้ปัญหาด้วยตัวคนเดียว(ก็พ่อแม่ฉันไม่เคยช่วยอะเนอะ) เลยแบบ เอาว่ะ ไปก็ไป
มองย้อนกลับไปตอนนั้นคือเสี่ยงและโง่มาก อย่าเลียนแบบเด็ดขาด ตอนนั้นบอกโฮสต์ว่าจะไปนอนบ้านเพื่อน แต่นั่งรถไฟด่วนไปเลย ใช้เวลา 1.45 hr บวกนั่งแท็กซี่ไปบาร์ พอถึงคือ A พูดอ้อแอ้ไม่รู้เรื่อง ส่วน C ฟุบหลับไปละ
พออิเสี่ย B เห็นเรามาก็กุลีกุจอสั่งเบียร์มาอีกรางใหญ่ คิดว่านางคงกรึ่มๆแล้ว นี่ก็เตรียมอัดเสียงพร้อม ละก็ดื่มเป็นมารยาท ดีที่ตอนนั้นดื่มแอลกอฮอล์เป็น และ alc tolerance พอได้
ยาวมาก เดะมาต่อ ละนี่เพิ่งครึ่งเดียว หาวิธีย่อแปป แต่แบบอยากลงรายละเอียดให้เยอะๆเพื่อจะได้เข้าใจว่าคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นสับสนยังไง เห้อ
ซึ่งบทสนทนาในโต๊ะตอนนั้นคือเหี้ยมาก
เหี้ยจนสมองฉันดับ เสี่ย B คือเล่าประสบการณ์เซ็กซ์ของตัวเองไม่หยุด แบบมีเซ็กซ์กะผญ.ตั้งแต่หน้าประตูห้อง ไปถึงห้องครัว ฯลฯ
เหี้ยจนสมองฉันดับ เสี่ย B คือเล่าประสบการณ์เซ็กซ์ของตัวเองไม่หยุด แบบมีเซ็กซ์กะผญ.ตั้งแต่หน้าประตูห้อง ไปถึงห้องครัว ฯลฯ
และอันนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือจ้อจี้ เสี่ยBบอกว่าเคยนอนกับเด็กแลกเปลี่ยนมาแล้ว(คนละโครงการ) แล้วนางก็ถ่ายรูปไว้เด็กจะได้ไม่กล้าบอกใคร แต่นางก็เลี้ยงเด็กคนนั้นแบบ "สมเกียรติ" นะ ในขณะเดียวกันก็เริ่มดูถูกว่าผญ.ทุกคนเห็นแก่เงิน แล้วถามชั้นว่าต้องให้เงินเท่าไรถึงจะยอมนอนด้วย
นี่ก็แบบ กลัวชิบหายแต่ก็ต้องทนฟัง ทำเป็นตื่นเต้น เออออ เพราะมีเพื่อนอีกสองคนหมดสภาพอยู่ ระหว่างเล่าเสี่ย B ก็เอามือลูบ A ที่นั่งข้างๆไม่หยุด จนอิเสี่ยเห็นเรายังไม่เมาสักที เลยสั่งเหล้ามา 6 shots ซึ่งจริงๆผิดกฎหมาย เพราะที่เบลเยียมเด็ก 16 ดื่มได้แค่เบียร์หรือ alc ต่ำๆอะ
แต่เสี่ย B สัญญาว่าถ้าฉัน finish 3 shots จะพากลับบ้าน แต่นี่รู้ว่าตัวเองไม่น่าไหว shot แรกก็อ่ะดื่มจริง แต่ shot สองนี่แอบเทใส่แก้วเบียร์เสี่ย ส่วน shot สุดท้ายตอนจังหวะเสี่ยยกดื่มฉันแอบเทลงพื้น สรุปอิเสี่ยก็ไม่รักษาสัญญาจ้า ไม่พากลับ
นี่เลยบอกจะพา A ไปเข้าห้องน้ำเพรสะนางเหมือนจะอ้วก แล้วเปลี่ยนชื่อเบอร์เราในมือถือนางเป็น gastbroer (host brother) พอพานางกลับมาที่โต๊ะสักพัก นี่ก็กดโทรออกไปหา A นางก็รับแล้ว Hello อยู่สักพัก ไม่มีคนพูด เราเลยบอกว่า เอามาๆ เดี๋ยวคุยให้ แล้วทำเป็นคุยกะสายมโนอันนั้น
เสร็จก็หันไปบอกอิเสี่ย B ว่า เนี่ยโฮสต์ A โกรธมากที่ตอนนี้ยังไม่กลับบ้าน เขาบอกให้กลับเดี๋ยวนี้ บลาๆๆ อิเสี่ย B เลยยอมพากลับมาส่งบ้าน A จนได้
สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ จริงๆแล้ว C ที่เหมือนฟุบหลับได้ยินและรับรู้ทุกอย่าง แต่กลัวมากเลยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา แต่เข้าใจได้อะ แม่งน่ากลัวจริง
สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ จริงๆแล้ว C ที่เหมือนฟุบหลับได้ยินและรับรู้ทุกอย่าง แต่กลัวมากเลยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา แต่เข้าใจได้อะ แม่งน่ากลัวจริง
ก็ตกลงว่าจะบอก A กันตอนเช้า แต่อิเสี่ย B ดันเอารถมาจอดรอหน้าบ้าน A ตั้งแต่ 7 โมงยังกะหยังสยองขวัญ สิ่งที่ชั้นไม่รู้คือเสี่ย B อาสาเป็นไกด์พาไปทัวร์อีกเมืองนึงวันนี้ อารามรีบเลยจับผลัดจับผลูขึ้นรถอิเสี่ย B กันไปอีก
บนรถคืออึมครึมมาก อิเสี่ยพยายามชิลๆแต่ตะล่อมถามว่าเราจำเรื่องเมื่อคืนได้บ้างไหม นี่ก็บอกว่าเรางงๆมึนๆอะ ตื่นมาก็ลืมหมด ส่วน C นั่งเงียบกริบ แล้วเสี่ย B มองผ่านกระจกมองหลังมาดูบ่อยมาก สยองสุด
สุดท้ายกว่าจะได้คุยกะ A ก็คือตอนค่ำ ไฟล์เสียงเสือกฟังไม่ชัดอีก แต่โชคดีที่รอบนี้ C เป็นพยานให้ A เลยเชื่อ เลิกติดต่อกับเสี่ย B ในไลน์ และไม่ไปที่ร้านอาหารอีก
ใครจะรู้ว่าเสี่ย B ขับรถไปดักรอ A หลังเลิกเรียนที่โรงเรียน แล้วกระหน่ำบีบแตรพร้อมเรียกชื่อ A ตอนนั้นA ตกใจทำไรไม่ถูก อายคนรอบข้างด้วย เลยยอมขึ้นรถไป เสี่ย B ก็โมโหถามไม่หยุดว่าทำไมไม่ตอบไลน์ ไม่ไปที่ร้าน
A เลยต้องโกหกว่าโดนโฮสต์กักบริเวณ+จำกัดการใช้มือถือ พอ A รอดจากรถเสี่ย B มาได้ นางก็รีบไลน์หาเราทันที นี่ก็ช็อคอะ เพราะน่ากลัวที่เสี่ย B มีข้อมูล A ทุกอย่าง รู้ที่อยู่บ้าน ที่อยู่โรงเรียน แถมเสี่ย B ยังบอกว่าแค้นเราอีก
จริงๆคือเสี่ย B เป่าหู A ตั้งแต่วันที่เราไปทำงานที่ร้านอาหารเขาละ ว่าเราเป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ ข้างนอกใสๆข้างในร้ายลึก อย่าไปคบ แล้วยิ่งวันที่เสี่ย B บังคับA ขึ้นรถ ยังด่าเราด้วยว่าร่าน เล่นตัว สันดานเหมือนแฟนเก่าที่หลอกเอาเงินเขาไป
นี่กลัวมาก บอกให้ A บอกโฮสต์/โครงการเหอะ แต่ A กลัวโดนส่งกลับ เลยไม่ยอมบอก แถมกำชับเราว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร แต่แกก มันน่ากลัวมากแล้ว (อันนี้โครงการควรพิจารณานะว่าการชอบขู่จะส่งเด็กกลับไทยมันทำให้เด็กไม่กล้าบอกปัญหาอะ)
สุดท้ายเราเลยตัดสินใจบอกโฮสต์ตัวเอง โฮสต์นี่ก็ทั้งโกรธทั้งเสียใจแหละที่เราไปทำอะไรเสี่ยงๆโดยไม่บอกแกก่อน แต่ตรงนี้ก็เคลียร์ใจกะโฮสต์มัมอีกหนึ่งเรื่อง เพราะแกแสดงให้เราเห็นว่าบอกแกได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่ว่าเราจะคิดว่ามันไร้สาระหรือดูงี่เง่าแค่ไหน แกไม่เคยทิ้งให้เราแก้ปัญหาคนเดียว
มัมนี่เลยประสานงานกับคนของโครงในแชปเตอร์นั้นให้ (แนบ concern ที่เราบอกว่าไม่อยากให้ส่ง A กลับไทย) แต่เขาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องบอกโฮสต์ของ A อะ ทำให้A กะโฮสต์มีปากเสียงกัน A เลยงอนนี่ว่าทำไมเอาไปบอก ชั้นกลายเปงนัง traitor
ตอนนั้นเราคิดว่าเราทำสุดค.สามารถแล้ว เลยไม่ได้ตามว่าเรื่องเป็นไง เขาเคลียร์ด้วยวิธีไหน แต่ A ก็กลับไทยโดยสวัสดิภาพตามกำหนดจ้า ตอนหลังได้มาคุยกัน เขาเล่าว่าจากเหตุการณ์นี้ทำให้เขากับโฮสต์ได้คุยกันมากขึ้นจนคสพ.ดีขึ้นในระดับนึง เพราะที่ผ่านมาโฮสต์ไม่ค่อยมีเวลาเขาเลยเหงาๆเคว้งๆ
เรื่องนี้เราเตือนรุ่นน้องที่สนิท/รู้จักให้ส่งต่อตลอด แบบบอกสักคนสองคนแล้วไปเตือนเพื่อนต่อนะ แต่ตอนนี้คิดว่าทวิตเลยดีกว่า เพราะบางคนก็อาศัยความเป็น "คนไทยด้วยกัน" แล้วใช้จังหวะที่เด็กเคว้งหาประโยชน์แบบนี้อะ ทำเป็นผู้ใหญ่ใจป้ำ เข้าใจเด็ก เปิดกว้าง แต่จริงๆ...